วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

เด็กไอคิวต่ำ


                  งานวิจัยมากกว่าหนึ่งชิ้นรายงานตรงกันว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กไทยวัยเรียนและวัยรุ่นมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ....

                  ระดับสติปัญญาปกติคือ 90-110 ต่ำกว่าปกติคือน้อยกว่า 90 หากน้อยกว่า 70 สามารถไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการทางสติปัญญาได้เลย โดยรวมๆ นักวิชาการจำนวนมากก็ยอมรับว่าผลงานวิจัยในครั้งนี้ท่าจะจริง และสถานการณ์ของเด็กบ้านเรากำลังน่าเป็นห่วง กล่าวคือนอกจากโง่แล้ว ยังติดเกม ติดเน็ต ติดมือถือ ติดห้าง ติดฟาสต์ฟู้ด ติดเซ็กซ์ แต่ไม่ติดวัด
                  อันที่จริงการป้องกันมิให้ลูกของเราไอคิวต่ำไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องการการลงทุนอะไรนอกจาก เวลา ช่วงทารกถึงสามขวบปีแรก เป็นเวลาวิกฤติที่จะปูพื้นฐานโครงสร้างของสมองให้แข็งแรงและแน่นหนา อันจะเป็นรากฐานของเด็กไอคิวดีในวันข้างหน้า หากคุณพ่อคุณแม่ละทิ้งโอกาสนี้ก็ถือว่าผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สามารถหวนกลับมาแก้ตัวอีก ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำมี 2 อย่างคือ กอด และให้อาหารที่มีประโยชน์ การกอดช่วยให้แขนงของเซลล์ประสาทนับล้านๆ ตัวในสมองสามารถเชื่อมต่อและประสานกันหลายล้านตำแหน่ง เกิดเป็นระบบการทำงานหลายสิบระบบ เปรียบเทียบกับเส้นทางรถไฟฟ้าหลายสายพาดกันไปมาเกิดเป็นสถานีร่วมหลายตำแหน่ง ผู้คนเดินทางไปมาทั่วทั้งมหานครสะดวกอย่างไร สัญญาณประสาทและความฉลาดของลูกก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดไปมาในสมองได้คล่องแคล่วฉับไวเช่นนั้น ทั้งนี้ต้องรวมถึงการให้อาหารที่มีประโยชน์อยู่เรื่อยๆ ด้วย

                   การกินขนมกรุบกรอบจำนวนมาก โดยเฉพาะการไม่กอดลูกแล้วปล่อยให้ลูกกินขนมกรุบกรอบหน้าโทรทัศน์จึงเป็นข้อห้ามขาดในการเลี้ยงลูก หากเลี้ยงลูกเช่นนี้แล้วลูกโง่ก็สมควร เมื่อลูกโตขึ้นอีกนิดคือเป็นเด็กก่อนวัยเรียนประมาณสามถึงเจ็ดขวบ ก็จะมีอีกสองปัจจัยที่ทำให้รากฐานของการพัฒนาสติปัญญาแข็งแรง คือ การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก และภาษา กล้ามเนื้อเล็กคือกล้ามเนื้อระหว่างนิ้วมือทั้งสิบซึ่งมีมากกว่าหนึ่งร้อยมัด เป็นระบบกล้ามเนื้อที่สัตว์อื่นไม่มี และลิงก็ไม่มี สมองที่ดีและการฝึกที่ดีช่วยให้นิ้วมือทำงานได้ละเอียดอ่อนอย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ที่มักไม่ทราบกันคือกล้ามเนื้อนิ้วมือสามารถกระตุ้นให้สมองส่วนการคิดวิเคราะห์เจริญเติบโตมากขึ้นอีกด้วย นี่คือประโยชน์ของชุมทางประสาทที่เราสร้างไว้ให้ลูกมากมายเมื่อครั้งเป็นทารก ทำให้ ความฉลาดทางนิ้วมือ สามารถลัดสถานีไปพัฒนาความสามารถส่วนอื่นในสมอง

                   การฝึกปรือนิ้วมือมิใช่ให้เฉพาะกล้ามนิ้วมือ แต่หมายถึงการใช้นิ้วทั้งสิบทุกทิศทุกทางและทุกมิติ จึงหมายถึงการเล่น เช่น ตบแผะ เป่ายิ้งฉุบ หมากเก็บ วิ่งเปี้ยว มอญซ่อนผ้า ไปจนถึงทอยกอง และหมายถึงงานศิลปะ เช่น ฉีกกระดาษ แปะกระดาษ ขยำดินเหนียว ปั้นดินน้ำมัน เล่นน้ำ เล่นทราย ไปจนถึงหยิบแท่งสีเทียนและพู่กันวาดรูปเล่นด้วยใจอิสระ มิใช่ปล่อยให้ใช้แค่นิ้วโป้งกดรีโมตทีวี ปล่อยให้นิ้ววางอยู่บนคีย์บอร์ด รวมทั้งปล่อยให้ลูกกำเป็นอยู่เพียงอย่างเดียวคือกำเม้าส์

                    สำหรับการพัฒนาทางภาษายิ่งง่าย เพียงคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืนตั้งแต่เด็กยังเล็ก ไม่ต้องมากขอเพียงปีละประมาณ 300 คืน ทุนที่ลงไปนั้นจะผลิดอกออกผลงอกงามเก็บกินไม่รู้จักหมดไปตลอดชีวิตของเราและลูกๆ ลองทำกับลูกคนใหม่ดู (ภรรยาคนเดิมนะ) แต่ถ้าปล่อยให้ลูกรู้แต่ภาษาแชต ภาษาเอสเอ็มเอส ภาษากราฟฟิกอย่างหยาบ ปฏิสัมพันธ์กับคนในเน็ตโดยไม่เห็นหน้าตา ไม่มีโอกาสฝึกการตีความหมายของภาษาแบบบูรณาการ คือตีความหมายทั้งหมดทั้งคำพูด สำเนียง น้ำเสียง สีหน้า และกิริยาท่าทาง พัฒนาการของภาษาก็จะกะพร่องกะแพร่งไม่สมบูรณ์


                    องค์ประกอบของไอคิวดีทั้ง 4 ประการ คือ การกอด อาหารดีมีประโยชน์ เล่นอิสระ และอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เรียกสั้นๆ ว่า กอด-กิน-เล่น-อ่าน (ไม่คล้องจองกันเลย) เป็นการลงทุนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องกระทำด้วยตนเองจึงเกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย กล่าวคือ ไม่จ้างคนอื่นกอด ไม่จ้างคนอื่นป้อน ไม่จ้างคนอื่นเล่นกับลูก และไม่จ้างคนอื่นอ่านหนังสือให้ลูกฟัง


ที่มา : http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=3939

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น