วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ไขปริศนา"โลกาวินาศ2012" โลกแตกจริงหรือแค่กระแสตื่นตูม!


                    กระแสข่าวลือในโลก "อินเตอร์เน็ต" ผ่าน "อีเมล์ลูกโซ่" ถึงวันโลกาวินาศ หรือวันโลกแตก เดือนธันวาคม ปีค.ศ.2012 หรือพ.ศ.2555 ตามคำทำนาย "ปฏิทินมายา" และการคาดคะเนถึงปรากฏการณ์วิปริตผิดธรรมชาติต่างๆ หวนกลับมาแพร่สะพัดไปทั่วโลกอีกครั้ง รวมถึงในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "2012" ของฮอลลีวู้ดลงโรงฉาย และค่ายโซนี่พิคเจอร์ส ในฐานะผู้สร้าง จัดทำเว็บไซต์ปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการตลาดจนคนในองค์กร "นาซ่า" ต้องทักท้วงว่าเป็นแผนการตลาดที่ไม่เหมาะสม ส่วนข้อเท็จจริงว่าโลกจะแตกจริงตามคำพยากรณ์หรือไม่ วันนี้มาฟังข้อมูลจากนักวิชาการผู้มีความรู้โดยตรงดีกว่า
                   เริ่มจาก ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า

                   เหตุที่มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำทำนายโลกแตก ปี 2012 กันมากขึ้น อาจเป็นเพราะอิทธิพลของการโฆษณาภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่กำลังฉายอยู่ทั่วโลกขณะนี้

                   นอกจากนั้น การที่มี "โหร" ออกมาทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็อาจจะทำให้มีการพูดถึงกันไปใหญ่ จนกลายเป็นประเด็นที่หลายคนเริ่มตื่นตระหนก

                   ส่วนตัวแล้วคิดว่า ถ้าจะพูดในแง่หลักฐานที่นักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา และนักฟิสิกส์ รวมทั้งนักดาราศาสตร์ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดนั้น ยังมีหลักฐานอ่อนเกินไป หรือแทบจะไม่มีอะไรที่จะมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวได้เลย





อย่างไรก็ตาม อาจจะมีอีกหลายข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ หรือยังหาไม่เจอ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะเปิดรับฟังข้อมูล รวมทั้งเร่งศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น แล้วจึงไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่

แต่ทางที่ดีที่สุด ก็คือ การทำความเข้าใจกับสภาพของโลกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และช่วยกันทำให้ดีขึ้นจะดีกว่า

"ในฐานะนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ผมว่าเราควรเปิดกว้างสำหรับการรับฟังข้อมูลจากทุกด้าน และไตร่ตรองกับข้อมูลเหล่านั้นอย่างรอบคอบ เช่น นักวิทยาศาสตร์เขาเชื่อว่า ปี 2012 โลกยังไม่แตก เพราะเขาศึกษามา มีหลักฐานที่สามารถอ้างอิงและพิสูจน์ได้ ในขณะที่โหรคนหนึ่งบอกว่า ปีดังกล่าวโลกจะแตก เพราะเขานั่งทางในเห็น เหตุผลแบบนี้ผมก็ฟัง และทุกคนก็ฟัง แต่ก็ต้องมาคิดแล้วว่าเราจะเชื่อใครดี" ดร.อานนท์กล่าว

ด้าน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ แสดงทรรศนะในเรื่องเดียวกันว่า

                     เรื่องปี 2012 นี้เป็นสิ่งที่หลายคนกำลังกังวลอยู่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโลกของเราบ้าง เพราะปัจจุบันเรามีความรู้เกี่ยวกับโลกยังไม่มากพอ

                     ดังนั้น สิ่งสำคัญจึงควรที่จะหาข้อมูลให้มากขึ้น โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์จะต้องช่วยกันทำงานเพื่อจะช่วยกันเผยแพร่ความรู้ต่อประชาชนทั่วไป ให้เกิดความตระหนัก แต่ไม่ควรตระหนกจนเกินไป





ที่ผ่านมา ตนได้ยินเหมือนกันว่ามีเด็กๆ เยาวชน แม้กระทั่งเด็กในโรงเรียนอนุบาล ประถม มาพูดถึงเรื่องน้ำท่วมโลก โลกจะแตก ทำให้ตื่นกลัวกันไปใหญ่ จึงไม่อยากให้ตื่นตระหนกกันมากไป ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยในอดีต จะเคยคาดการณ์เอาไว้ว่า โลกมีโอกาสล่มสลายไปได้ แต่ก็เป็นระยะเวลาอีกนับร้อยปีข้างหน้า แต่คงจะไม่ใช่การล่มสลายไปในปีสองปีนี้แน่นอน และเป็นเพียงการทำนายเท่านั้น

วิธีการป้องกัน ก็คือ ทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษาโลก เพราะขณะที่ทั่วโลกตื่นตัวเรื่องของ "สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป" อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่ปล่อย "ก๊าซเรือนกระจก" ออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลกจำนวนมาก ทำให้โลกร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งหลายแห่งถูกน้ำท่วม เช่น ที่ จ.สมุทร ปราการ เป็นตัวอย่างชัดเจน

                     "เรื่องของระดับน้ำที่สูงขึ้น จนทำให้พื้นที่หลายแห่งของโลกจะถูกจมลงในทะเลก็อาจเป็นไปได้ เพราะในอดีตนักวิทยาศาสตร์เคยวาดภาพแผนที่โลกไว้ซึ่งก็ไม่ใช่แผนที่โลกในปัจจุบันนี้ หลายทวีปเกิดขึ้นใหม่หลายทวีปก็จมลงทะเลไปแล้ว ดังนั้นการบอกว่าโลกจะจมน้ำก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ถ้าบอกว่าโลกจะแตกในปีนั้นปีนี้อย่างรวดเร็วคงจะเป็นเพียงการจินตนาการในภาพยนตร์ ไม่อยากให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนแตกตื่นกันไป..

                      ขณะนี้ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เอง ก็พยายามที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโลกเก็บไว้เพื่อทำการศึกษา รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนโดยทั่วไป หากอยากไขข้อสงสัยอะไรก็สามารถติดต่อขอทราบข้อมูลได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น" คุณหญิงกัลยากล่าว

                      ขณะที่ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า

คงไม่มีใครบอกได้ว่าโลกจะแตกจริงหรือไม่

และโลกจะแตกเมื่อไหร่

เพราะคงไม่มีใครรู้ได้ชัดเจน

 การที่ตอนนี้มีประเด็นทำให้มีคนออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์กันอาจจะเป็นเพราะคำทำนายต่างๆ ที่เกิดขึ้น

                     ไม่ว่าจะเป็นการทำนายของ "นอสตราดามุส" หรือการทำนายของคนอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นการจูงใจทำให้คนหันมาให้ความสนอกสนใจเรื่องนี้มากขึ้น รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกได้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนตัวคิดว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่โลกจะแตก หรือล่มสลายไป

นอกเสียจากว่าจะมี "อุกกาบาต" วิ่งเข้ามาชนโลกฉับพลัน

ขณะนี้นักดาราศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องก็กำลังจับตามองอยู่ และยังไม่เห็นว่าโลกเราจะอยู่ในภาวะอันตราย

                       "เรื่องของโลกจะแตก หรือเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ ส่วนตัวผมว่าเป็นไปได้น้อยมาก หรือหากจะเกิดขึ้นจริงๆ คิดว่าอาจจะเกิดเพียงจุดใดจุดหนึ่งของโลกเท่านั้น ไม่ได้ทำให้โลกนี้แตกสลายไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน อย่างน้อยเชื่อว่าคนรุ่นเราๆ ไม่น่าจะเห็น" ดร.พันธ์ศักดิ์ กล่าว


ที่มา :  http://www.rssthai.com/reader.php?t=movie&r=15708

"จีน" เลิกใช้..."ถุงพลาสติก" แล้ว!


                        ถ้าใครไปซื้อของตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายของที่ประเทศจีน แล้วพนักงานขายคิดราคาค่าถุงพลาสติก ถุงละ 0.1 หยวน หรือ 50 สตางค์ อย่าได้แปลกใจไปเลย เพราะรัฐบาลจีนเริ่มนโยบายลดการใช้ถุงพลาสติกของประชาชนแล้ว

                        แต่ละปีชาวจีนใช้ถุงพลาสติกถึงปีละ 1 ล้านล้านถุง ก่อให้เกิดมลพิษมากมาย ที่เรียกว่า "มลพิษขาว" อันเกิดจากถุงพลาสติกอุดตันตามทางระบายน้ำ ปลิว ไปตามเรือกสวนไร่นา

แม้นโยบายนี้เป็นนโยบายที่ใช้ทั่วประเทศ แต่กลุ่มกรีนพีซยังกังขาว่า จะเป็นไปได้หรือ อย่างร้านเล็กๆ หรือเมืองเล็กๆ นั้นดูท่าจะไม่ทำตามนโยบายนี้แน่ เพราะที่ผ่านมา จีนไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้เลย อย่างโรงงานต่างๆ ก็ยังปล่อยมลพิษอยู่ ซึ่งในตัวบทกฎหมายนั้นเป็นบทบัญญัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่ไม่มีการบังคับใช้

                        หันมาทางความคิดเห็นของชาวบ้านบ้าง นายหวัง ย่งเจียง ชาวกรุงปักกิ่งให้สัมภาษณ์ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งว่า "ถ้าผมมาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ผมก็เลือกที่จะซื้อถุงพลาสติกอยู่ดี"

                        คำพูดของหวังแสดงให้เห็นว่า ชาวจีนนิยมใช้ถุงพลาสติกกันมาก จนติดใช้ถุงพลาสติกกันแล้ว สินค้าเกือบทุกอย่างห่อด้วยพลาสติก ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน ฟองน้ำล้างจาน เมื่อซื้อสินค้าเหล่านี้แล้ว จึงนำไปใส่ในถุงพลาสติกใบใหญ่อีกที ทำให้ยอดใช้ถุงพลาสติกตกวันละ 3,000 ล้านถุง โดย 1,000 ล้านถุงมาจากการซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนอีก 2,000 ล้านถุงมาจากการซื้อของในที่ต่างๆ

                         อย่างไรก็ตาม ยังมีความหวังเล็กๆ ว่า กฎหมายสิ่งแวดล้อมนี้อาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ เพราะจากการสำรวจของบริษัทวิจัยด้านการตลาด CIIC-COMR ที่ทำการสำรวจประชาชน 5,200 คน ทั่วประเทศ พบว่า 77.5% สนับสนุนการลดใช้ถุงพลาสติก

                         ถ้าจีนลดการใช้ถุงพลาสติกได้แล้ว ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อีกมากที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่น มลพิษทางอากาศที่เข้าปกคลุมอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ นั่นเอง

ที่มา : http://www.yimza.com/board/data/0331.html

เด็กไอคิวต่ำ


                  งานวิจัยมากกว่าหนึ่งชิ้นรายงานตรงกันว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กไทยวัยเรียนและวัยรุ่นมีระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ....

                  ระดับสติปัญญาปกติคือ 90-110 ต่ำกว่าปกติคือน้อยกว่า 90 หากน้อยกว่า 70 สามารถไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการทางสติปัญญาได้เลย โดยรวมๆ นักวิชาการจำนวนมากก็ยอมรับว่าผลงานวิจัยในครั้งนี้ท่าจะจริง และสถานการณ์ของเด็กบ้านเรากำลังน่าเป็นห่วง กล่าวคือนอกจากโง่แล้ว ยังติดเกม ติดเน็ต ติดมือถือ ติดห้าง ติดฟาสต์ฟู้ด ติดเซ็กซ์ แต่ไม่ติดวัด
                  อันที่จริงการป้องกันมิให้ลูกของเราไอคิวต่ำไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องการการลงทุนอะไรนอกจาก เวลา ช่วงทารกถึงสามขวบปีแรก เป็นเวลาวิกฤติที่จะปูพื้นฐานโครงสร้างของสมองให้แข็งแรงและแน่นหนา อันจะเป็นรากฐานของเด็กไอคิวดีในวันข้างหน้า หากคุณพ่อคุณแม่ละทิ้งโอกาสนี้ก็ถือว่าผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สามารถหวนกลับมาแก้ตัวอีก ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำมี 2 อย่างคือ กอด และให้อาหารที่มีประโยชน์ การกอดช่วยให้แขนงของเซลล์ประสาทนับล้านๆ ตัวในสมองสามารถเชื่อมต่อและประสานกันหลายล้านตำแหน่ง เกิดเป็นระบบการทำงานหลายสิบระบบ เปรียบเทียบกับเส้นทางรถไฟฟ้าหลายสายพาดกันไปมาเกิดเป็นสถานีร่วมหลายตำแหน่ง ผู้คนเดินทางไปมาทั่วทั้งมหานครสะดวกอย่างไร สัญญาณประสาทและความฉลาดของลูกก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดไปมาในสมองได้คล่องแคล่วฉับไวเช่นนั้น ทั้งนี้ต้องรวมถึงการให้อาหารที่มีประโยชน์อยู่เรื่อยๆ ด้วย

                   การกินขนมกรุบกรอบจำนวนมาก โดยเฉพาะการไม่กอดลูกแล้วปล่อยให้ลูกกินขนมกรุบกรอบหน้าโทรทัศน์จึงเป็นข้อห้ามขาดในการเลี้ยงลูก หากเลี้ยงลูกเช่นนี้แล้วลูกโง่ก็สมควร เมื่อลูกโตขึ้นอีกนิดคือเป็นเด็กก่อนวัยเรียนประมาณสามถึงเจ็ดขวบ ก็จะมีอีกสองปัจจัยที่ทำให้รากฐานของการพัฒนาสติปัญญาแข็งแรง คือ การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก และภาษา กล้ามเนื้อเล็กคือกล้ามเนื้อระหว่างนิ้วมือทั้งสิบซึ่งมีมากกว่าหนึ่งร้อยมัด เป็นระบบกล้ามเนื้อที่สัตว์อื่นไม่มี และลิงก็ไม่มี สมองที่ดีและการฝึกที่ดีช่วยให้นิ้วมือทำงานได้ละเอียดอ่อนอย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ที่มักไม่ทราบกันคือกล้ามเนื้อนิ้วมือสามารถกระตุ้นให้สมองส่วนการคิดวิเคราะห์เจริญเติบโตมากขึ้นอีกด้วย นี่คือประโยชน์ของชุมทางประสาทที่เราสร้างไว้ให้ลูกมากมายเมื่อครั้งเป็นทารก ทำให้ ความฉลาดทางนิ้วมือ สามารถลัดสถานีไปพัฒนาความสามารถส่วนอื่นในสมอง

                   การฝึกปรือนิ้วมือมิใช่ให้เฉพาะกล้ามนิ้วมือ แต่หมายถึงการใช้นิ้วทั้งสิบทุกทิศทุกทางและทุกมิติ จึงหมายถึงการเล่น เช่น ตบแผะ เป่ายิ้งฉุบ หมากเก็บ วิ่งเปี้ยว มอญซ่อนผ้า ไปจนถึงทอยกอง และหมายถึงงานศิลปะ เช่น ฉีกกระดาษ แปะกระดาษ ขยำดินเหนียว ปั้นดินน้ำมัน เล่นน้ำ เล่นทราย ไปจนถึงหยิบแท่งสีเทียนและพู่กันวาดรูปเล่นด้วยใจอิสระ มิใช่ปล่อยให้ใช้แค่นิ้วโป้งกดรีโมตทีวี ปล่อยให้นิ้ววางอยู่บนคีย์บอร์ด รวมทั้งปล่อยให้ลูกกำเป็นอยู่เพียงอย่างเดียวคือกำเม้าส์

                    สำหรับการพัฒนาทางภาษายิ่งง่าย เพียงคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืนตั้งแต่เด็กยังเล็ก ไม่ต้องมากขอเพียงปีละประมาณ 300 คืน ทุนที่ลงไปนั้นจะผลิดอกออกผลงอกงามเก็บกินไม่รู้จักหมดไปตลอดชีวิตของเราและลูกๆ ลองทำกับลูกคนใหม่ดู (ภรรยาคนเดิมนะ) แต่ถ้าปล่อยให้ลูกรู้แต่ภาษาแชต ภาษาเอสเอ็มเอส ภาษากราฟฟิกอย่างหยาบ ปฏิสัมพันธ์กับคนในเน็ตโดยไม่เห็นหน้าตา ไม่มีโอกาสฝึกการตีความหมายของภาษาแบบบูรณาการ คือตีความหมายทั้งหมดทั้งคำพูด สำเนียง น้ำเสียง สีหน้า และกิริยาท่าทาง พัฒนาการของภาษาก็จะกะพร่องกะแพร่งไม่สมบูรณ์


                    องค์ประกอบของไอคิวดีทั้ง 4 ประการ คือ การกอด อาหารดีมีประโยชน์ เล่นอิสระ และอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เรียกสั้นๆ ว่า กอด-กิน-เล่น-อ่าน (ไม่คล้องจองกันเลย) เป็นการลงทุนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องกระทำด้วยตนเองจึงเกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย กล่าวคือ ไม่จ้างคนอื่นกอด ไม่จ้างคนอื่นป้อน ไม่จ้างคนอื่นเล่นกับลูก และไม่จ้างคนอื่นอ่านหนังสือให้ลูกฟัง


ที่มา : http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=3939